เรื่องของสัญญาซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือเรียกตามภาษาทางกฎหมายว่า "สัญญาจะซื้อจะขาย" ถือเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาให้แก่ผู้ซื้อบ้านมาจนนับครั้งไม่ถ้วน เนื่องจากผู้ซื้อบ้านส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าเรื่องของสัญญาเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เข้าใจยาก มีเพียงนักกฎหมายเท่านั้นที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ได้อย่างถูกต้อง เป็นเหตุให้ผู้ซื้อบ้านละเลยที่จะให้ความสำคัญกับรายละเอียดของสัญญาจะซื้อจะขาย จนเมื่อเกิดปัญหา "ซื้อบ้านแล้วไม่ได้บ้าน" ขึ้นในช่วงวิกฤตที่ผ่านมา ผู้ซื้อบ้านถูกเอาเปรียบจนเกิดกรณีร้องเรียนผ่านหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยงาน เช่น มีการร้องเรียนผ่านสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เรื่องการไม่ส่งมอบบ้านตามกำหนดสัญญา และกรมที่ดินในฐานะผู้ออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินและจดทะเบียนอาคารชุด ในกรณีที่ผู้ประกอบการไม่ดำเนินการจัดสร้างสาธารณูปโภคตามที่ได้ทำการโฆษณาเอาไว้
แนวคิดในการร่างสัญญาจะซื้อจะขายที่อยู่อาศัยจึงเกิดขึ้น แต่เนื่องจากการเสนอขายที่อยู่อาศัยโดยผู้ประกอบการเอกชนในตลาดมีทั้งในรูปแบบของโครงการจัดสรร และอาคารชุด ดังนั้นการประกาศใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่อยู่อาศัยจึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือสัญญาซื้อขายห้องชุดในอาคารชุด สัญญามาตรฐานฉบับนี้ จัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2543 ส่วนอีกฉบับหนึ่งที่จะนำมาเสนอ ณ ที่นี้ก็คือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร (มีสิ่งปลูกสร้าง) และที่ดินจัดสรร(เฉพาะที่ดินเปล่า) ซึ่งจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลาง และขณะนี้มีผลในทางปฏิบัติแล้วเช่นกัน เนื่องจากมีการประกาศใช้มาตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2545
เนื้อหาสาระของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรรทั้ง 2 ฉบับ มีความแตกต่างกันเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งปลูกสร้างเท่านั้น แต่ประเด็นใหญ่ใจความจะเหมือนกันทุกประการ ซึ่งสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร ฉบับมาตรฐานของกรมที่ดินนั้นกำหนดสาระสำคัญออกเป็น 14 ข้อที่จะต้องมีอยู่ในสัญญาดังนี้คือ
ข้อ 1.รายละเอียดของผู้จะซื้อจะขายและสำนักงานจัดสรรที่ดิน ซึ่งจะระบุถึงชื่อ ที่อยู่และสถานที่ติดต่อของทั้ง 2 ฝ่าย และมีการเพิ่มเติมเรื่องของวันที่ที่ได้มีการทำสัญญาไว้ด้วย
ข้อ 2.คำรับรองของผู้จะขายที่ระบุถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่นำมาจัดสรร และขอรับการอนุญาตให้ทำการจัดสรร ซึ่งในข้อนี้ผู้ขายต้องระบุถึงรายละเอียดของแผนผังและที่ตั้งโครงการ จำนวนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งผู้ขายต้องแจ้งให้ทราบด้วยว่าที่ดินนั้น ๆ มีภาระผูกพันใดๆ หรือไม่ เช่นหากที่ดินติดจำนองอยู่ต้องระบุไว้ด้วยว่าที่ดินแปลงนั้นๆ ถูกจำนองไว้ในวงเงินเท่าใด
ข้อ 3. ราคาจะซื้อจะขาย ในสัญญาที่จัดทำขึ้นนั้นต้องระบุถึงราคาซื้อขายที่ดินว่าราคาต่อไร่หรือต่อตารางวา เป็นจำนวนเงินเท่าใด แต่หากเป็นการซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง หรือที่เรียกว่าการซื้อขายบ้านพร้อมที่ดิน ราคาจะซื้อจะขายนั้นต้องแบ่งแยกว่าเป็นราคาซื้อขายที่ดิน จำนวนเงินเท่าไร และเป็นราคาขายขายสิ่งปลูกสร้างในจำนวนเงินเท่าใด
ข้อ 4.การชำระเงินและการโอนกรรมสิทธิ์ สัญญาต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีชำระเงิน และยอดการชำระเงิน โดยแบ่งเป็น 2 ตอนคือ1.การชำระเงินในวันจองและทำสัญญา 2.การชำระเงินผ่อนในแต่ละงวด ซึ่งจะอิงกับขั้นตอนการก่อสร้าง ยกเว้นแต่เป็นการซื้อขายบ้านที่มีการก่อสร้างไว้แล้ว หรือที่เรียกว่าบ้านพร้อมอยู่ สัญญาในข้อนี้ต้องแจ้งถึงกำหนดวันจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธ์เอาไว้ด้วย ในกรณีที่เป็นการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมีสิ่งปลูกสร้าง เมื่อถึงกำหนดการโอนกรรมสิทธิผู้ขายต้องแจ้งให้ผู้ซื้อทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน
ข้อ 5.หลักฐานในการชำระเงิน ผู้ขายต้องออกหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้จะขายหรือผู้รับเงิน ให้แก่ผู้ซื้อ
ข้อ 6.สาธารณูปโภคและบริการสาธารณะ นอกจากจะระบุว่าผู้ขายต้องจัดให้มีสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะตามที่ระบุไว้ในผังโครงการที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรร หรือตามที่ผู้ขายได้โฆษณาไว้ ยังระบุเพิ่มเติมไว้อีกด้วยว่า ผู้ซื้อยินยอมที่จะออกค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ และค่าบำรุงรักษาตามที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินเห็นชอบ
หากเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรรมีสิ่งปลูกสร้าง ในเงื่อนไขสัญญากำหนดให้ผู้ขายต้อผู้ดำเนินการจัดให้มีการติดตั้งมาตรวัดปริมาณการใช้สาธารณูปโภคและต้องโอนกรรมสิทธืให้เป็นขอผู้ซื้อภายในกี่วันนับตั้งแต่วันที่จดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์ โดยค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการติดตั้งผู้ขายต้องเป็นผู้ออกให้ก่อนและสามารถเรียกเก็บจากผู้วื้อได้เมื่อมีการจดทะเบียนและโอนกรรมสิทธิ์แล้ว
ข้อ 7. การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่ผู้จะซื้อ ผู้ขายต้องโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้ซื้อโดยที่ที่ดินดังกล่าวไม่ติดบุริมสิทธิ์ในการขาย เช่นไม่ติดภาระจำนอง รวมทั้งต้นแบบสัญญายังระบุด้วยว่า หากผู้ขายไม่สามารถปลอดภาระในที่ดินแปลงที่ทำการซื้อขายมาโอนกรรมสิทธิ์ให้กับผู้ซื้อได้ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ชำระหนี้ตามมูลหนี้ที่ระบุไว้กับผู้รับจำนองได้ เมื่อชำระครบตามสัญญาผู้ซื้อสามารถนำหลักฐานที่เป็นหนังสือแสดงว่าได้ชำระราคาดังกล่าวครบตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา พร้อมหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานที่ดินได้ทันที
หากผู้ซื้อไม่สามารถนำหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดินมาแสดงต่อเจ้าพนักงานได้เพราะผู้ขายหรือผู้อื่นถือครองไว้ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ร้องข้อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เรียกหนังสือแสดงกรรมสิทธิในที่ดินจากผู้ขายหรือบุคคลที่ยึดครองมาดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ได้เช่นกัน
ข้อ 8.ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสัญญา สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรรของกรมที่ดิน ระบุให้ผู้ขายเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน หรือแบ่งแยกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดิน รวมทั้งค่าภาษีอากรในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน ผู้ซื้อและผู้ขายออกเท่ากันทั้งสองฝ่าย
ข้อ 9.เบี้ยปรับและดอกเบี้ยผิดนัด กรณีที่ผู้ขายไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในเวลาที่กำหนด และผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายต้องยินยอมให้ผู้ซื้อดำเนินการดังนี้ คือผู้ขายต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 0.01 ของราคาที่ดิน นับตั้งแต่วันที่ล่วงเลยกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ตามสัญญาจนถึงวันที่มีการโอนกรรมสิทธิ์แต่ค่าปรับดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของราคาที่ดิน
และหากผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามข้อ 12 .1 หากเป็นกรณีที่ผู้ซื้อผิดสัญญาในการชำระเงินตามที่กำหนดไว้ใน ข้อ 4 ผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราไม่เกินร้อยละ 10 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระนั้น
ข้อ 10 .การก่อภาระผูกพัน สัญญากำหนดให้ภายหลังการทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแล้วผู้ขายต้องไม่กระทำใดๆ อันเป็นเหตุให้ที่ดินที่จะขายนั้น เกิดภาระผูกพันเพิ่มขึ้น
ข้อ 11. การบอกเลิกสัญญา กำหนดให้ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาได้เมื่อผู้ขายผิดสัญญาในข้อหนึ่งข้อใด ส่วนทางด้านผู้ขายหรือผู้จะขายสามารถบอกเลิกสัญญาได้เมื่อเกิดกรณีดังนี้ กรณีที่แบ่งการชำระค่าที่ดินไม่เกิน 3 งวด และผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระงวดใดงวดหนึ่ง หรือกรณีที่แบ่งชำระค่าที่ดินเกิน 3 งวด และผู้ซื้อผิดนัดไม่ชำระตั้งแต่ 3 งวดติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควรว่าผู้ขายผิดเงื่อนไขในสัญญา ผู้ขายได้บอกกล่าวทวงถามเป็นหนังสือโดยใช้เวลาไม่น้อยกว่า 30 วันแล้ว ผู้ซื้อยังไม่ชำระผู้ขายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและใช้สิทธิตามข้อ 12.2
ข้อ12. สิทธิภายหลังการบอกเลิกสัญญา กรณีที่ผู้ซื้อบอกเลิกสัญญาแล้วกำหนดให้ผู้ขายยินยอมให้ผู้ซื้อเรียกเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดคืนจากผู้ขายพร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่ระบุไว้ในสัญญานับตั้งแต่วันที่ผู้ซื้อได้ชำระเงินไป ในกรณีที่ผู้ขายบอกเลิกสัญญา ผู้ซื้อต้องยินยอมให้ผู้ขายหักเงินที่ผู้ซื้อชำระไปแล้วเป็นค่าเสียหายตามความเป็นจริง แต่ค่าเสียหายดังกล่าวต้องมีจำนวนเงินไม่เกินที่ผู้ซื้อชำระไปแล้วทั้งหมด ถ้ามีเงินเหลือให้ผู้ขายคืนเงินให้ผู้ซื้อภายใน 30 วันนับแต่วันบอกเลิกสัญญา
ข้อ 13.คำบอกกล่าว กำหนดให้การบอกกล่าวใดๆในสัญญานี้ต้องทำเป็นหนังสือ และแจ้งไปยังคู่สัญญาอีกฝ่าย หากเป็นการแจ้งทางไปรษณีย์ให้ส่งโดยไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ และให้ถือว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้รับแจ้งตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือดังกล่าว หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งย้ายที่อยู่ต้องแจ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบเป็นหนังสือตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา
ข้อ 14.เอกสารแนบท้ายสัญญา คู่สัญญาตกลงให้ถือว่าเอกสารต่างๆแนบท้ายสัญญา ซึ่งคู่สัญญาได้ลงนามกำกับไว้ทุกหน้า เป็นส่วนหนึ่งของสัญญา หากมีเอกสารแนบท้ายสัญญาขัดหรือแย้งกับข้อความในสัญญาให้ใช้ข้อความในสัญญาบังคับ
อย่างไรก็ดี หากเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร มีสิ่งปลูกสร้าง จะมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างเพิ่มเติมเข้าไปนอกเหนือจากที่กล่าวไว้แล้วในข้อ 3. ข้อ 4. ข้อ 5. และ ข้อ 6. โดยรายละเอียดของสัญญาในข้อ 7 . ระบุให้ผู้ขายเป็นผู้ยื่นขออนุญาตการก่อสร้างอาคารต่อเจ้าพนักงานตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา และต้องแสดงหลักฐานดังกล่าวกรณีที่ผู้ขายได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารแล้วให้ผู้ซื้อได้รับทราบ โดยระบุด้วยว่าได้รับใบอนุญาตเมื่อไหร่ พร้อมกับกำกับเลขที่เอกสารไว้ด้วย รวมทั้งผู้ขายต้องจัดหาวัสดุมาใช้ตามที่ระบุไว้ในแบบแปลนก่อสร้างหรือมีคุณภาพเทียบเท่า หรือดีกว่า มาใช้ในการก่อสร้าง และต้องเปิดโอกาสให้ผู้ซื้อหรือผู้แทนเข้าตรวจตราภายในบริเวณที่ดินหรืออาคารที่ก่อสร้างได้ตลอดเวลาทำการแต่ผู้ซื้อต้องแจ้งให้ทราบล้วงหน้าก่อนที่จะดำเนินการ
มีการระบุเพิ่มเติมใน ข้อ 11. เรื่องความรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่อง สัญญากำหนดให้เมื่อมีการโดนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายต้องรับผิดชอบความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่งของอาคารดังนี้คือ กรณีที่เป็นโครงสร้างของอาคาร ได้แก่ เสาเข็ม ฐานราก เสา คาน พื้น โครงหลังคา และพนังที่รับน้ำหนัก ต้องรับผิดชอบภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์ กรณีที่เป็นส่วนควบหรืออุปกรณ์อันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคาร ต้องรับผิดชอบภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่วันโอนกรรมสิทธิ์
นอกจากการคุ้มครองสิทธิของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยด้วยการประกาศใช้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร และพ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินพ.ศ. 2543 ยังกำหนดไว้ด้วยว่าผู้ขออนุญาตทำการจัดสรรที่ดิน ต้องนำหลังฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ ท้องที่ซึ่งที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ ซึ่งหนึ่งในหลักฐานที่ผู้ขอจัดสรรต้องนำมาแสดงก็คือ สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร ดังนั้นจึงเป็นการการันตีได้ว่าเมื่อมีการขออนุญาตจัดสรรอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีใบอนุญาตจัดสรรมาแสดงต่อผู้ซื้อได้ สัญญาที่ผู้ขายโครงการนั้นๆ จะนำมาใช้ต้องเป็นสัญญาที่มีเนื้อหาสาระเหมือน หรือสอดคล้องกับสัญญาของกรมที่ดิน
ดังนั้น ก่อนที่ผู้ซื้อบ้านจะตัดสินใจจองซื้อ และลงนามในสัญญาจะซื้อจะขายกับเจ้าโครงการการจัดสรรรายใด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตรวจสอบรายละเอียดของสัญญาว่ามีครบทั้ง 14 ข้อหรือไม่ และประเด็นสำคัญที่สุดที่จะต้องตรวจเช็คก็คือ โฉนดที่ดิน หรือเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เลขที่หนังสืออนุญาตจัดสรรที่ดิน แผนผังโครงการและรายละเอียดของทรัพย์สินส่วนกลางที่ผู้ซื้อบ้านในโครงการต้องใช้ร่วมกัน แบบแปลนพิมพ์เขียวของบ้าน ของอาคาร ซึ่งเรื่องของพิมพ์เขียวผู้ซื้อบ้านอาจคิดว่าไม่จำเป็นแต่ในสถานการณ์ที่ตลาดมีการเสนอขาย "บ้านสร้างก่อนขาย" การขอดูพิมพ์เขียวจะทำให้ผู้ซื้อตรวจสอบได้ว่างานระบบทั้งในส่วนของไฟฟ้า และประปา วางอยู่ในจุดใดบ้าง
จากนั้นควรตรวจเช็คกำหนดเริ่มต้นการก่อสร้าง และวันแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ วิธีนับการค้างชำระค่างวดทางผู้ขายนับอย่างไร การระบุถึงค่าใช้จ่ายในด้านค่าธรรมเนียมและค่าภาษี เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาฉบับมาตรฐานหรือไม่
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสัญญาฉบับนี้จะเขียนเงื่อนไขในสัญญาให้เกิดความเป็นธรรมทั้งฝ่ายผู้ซื้อ และผู้ขาย แต่หากเกิดกรณีพิพาท เช่น ที่ดินที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ไม่ตรงตามสัญญาจะซื้อจะขาย ผู้ซื้อต้องหันไปพึ่งกฎหมายอีกฉบับหนึ่งคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เกี่ยวกับการซื้อขายว่าด้วยการส่งมอบ มาตรา 466 ซึ่งกฎหมายระบุว่าหากการส่งมอบที่ดินไม่ครบตามจำนวนถึงขนาดที่ว่าหากผู้ซื้อทราบก่อนคงไม่ยินยอมให้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขาย กรณีเช่นนี้ในทางกฎหมายผู้ซื้อมีสิทธิยอมรับหรือไม่ยอมรับที่ดินแปลงที่ซื้อไว้ได้ แต่หากไม่ยอมรับและต้องการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ตามมาตร 391 ระบุให้ผู้ขายชำระเงินคืนทั้งหมดบวกดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ได้ชำระเงิน
แม้ว่าจะมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อบ้านหลายชั้น แต่ทางที่ดีที่สุด การซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบประวัติเจ้าของโครงการแล้วพบว่าไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนผ่าน สคบ.หรือหน่วยงานอื่นๆ น่าจะเป็นวิธีป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด ในยุคปัจจุบัน
หมายเหตุ :
ผู้ขาย หมายถึง ผู้จะขายในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร
ผู้ซื้อ หมายถึง ผู้จะซื้อในสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร
ควรศึกษาควบคู่กับต้นแบบร่างสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร ซึ่งร่างโดยกรมที่ดิน
ข้อมูลประกอบ
1.สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร (เฉพาะที่ดินเปล่า) และสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจัดสรร(มีสิ่งปลูกสร้าง) กรมที่ดิน
2.บทความเรื่อง รอบรู้ พ.ร.บ.จัดสรรที่ดิน จากจุลสารสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ฉบับที่ 7 มกราคม-มีนาคม 2545
3. บทความจากคอลัมน์ สคบ.พบผู้บริโภค โดย ศิริ เกดแก้ว ในนิตยสารอาคารและที่ดิน Weekly
4. บทวิเคราะห์ในงานสัมมนา "ซื้อบ้านอย่างรอบรู้ ครั้งที่ 6" ระหว่างวันที่ 2-3 กุมภาพันธ์ 2545
5. คู่มือการปฏิบัติงาน สำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรมที่ดิน
25/12/2005
DIY&LIFE STYLE