โดยปกติแล้วธรรมชาติกับมนุษย์เป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอ แต่คนในเมืองหลวงได้ละทิ้งสิ่งเหล่านี้มากขึ้นทุกที ในขณะที่ความเจริญก้าวหน้าของสังคมเมืองยังคงมีสัญชาตญาณที่เรียกร้องหาธรรมชาติซ่อนเร้นอยู่เสมอ ซึ่งจะเห็นได้จากการพยายามนำเอาไม้ดอก ไม้ประดับต่าง ๆ เข้ามาตกแต่งในบริเวณที่ทำงานร้านค้าและที่อยู่อาศัย ให้เป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด โดยเฉพาะภายในบริเวณบ้านเราสามารถที่จะจัด และตกแต่งให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ด้วยตัวของเราเอง โดยเจ้าของบ้านอาจจะเป็นคนลงมือทำเองทีละขั้น ตามความสามารถกำลังเงินและเวลาที่มีอยู่ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำให้เสร็จในทีเดียว หรือว่าจ้างมืออาชีพมาตกแต่งให้
หลักเบื้องต้นของการออกแบบสวน
คือทำความรู้จักกับบริเวณของตนเองโดยเขียนตัวบ้าน ขอบเขตที่ดิ้น (รั้ว) ถนนหน้าบ้านทาง ทางเข้าบ้าน โรงรถ ทางเดินต่าง ๆ กำหนดตำแหน่งของต้นไม้ใหญ่ที่จะเก็บรักษาไว้แสดงทิศเหนือ-ใต้ บริเวณที่มีปัญหาต่าง ๆ เช่น ด้านที่ร้อนแดดบริเวณที่ร่มจัดจนปลูกต้นไม้ไม่ได้ บริเวณที่มีน้ำขังแฉะในฤดูฝน หรือด้านที่ต้องการสิ่งบังตา เพราะขาดความเป็นส่วนตัวโดยที่บุคคลภายนอกสามารถมองเห็นภายในบริเวณบ้านเราได้ เป็นต้น
ลักษณะของสวนที่เจ้าของบ้านไม่ต้องดูแลรักษามาก
1. สวนที่มีพื้นปูเป็นพื้นแข็งมากกว่าพื้นอ่อน (สนามหญ้า) ซึ่งจะทำให้ลดเวลาในการตัดหญ้า และการบำรุงดูแลรักษาอื่น ๆ แต่ต้นทุนในการทำสวนลักษณะนี้ค่อนข้างสูงในการก่อสร้างครั้งแรก
2. ลักษณะสวนที่มีการจัดกลุ่มต้นไม้ คือถ้าเป็นสวนหย่อมจะประกอบไปด้วยต้นไม้หลาย ๆ ชนิดแตกต่างกันไป ยิ่งมากชนิด ยิ่งต้องการดูแลรักษามากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้ามกับการจัดสวนโดยการปลูกต้นไม้ชนิดเดียวกันให้เป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ซึ่งต้องการการดูแลรักษาที่เหมือนกัน จึงง่ายต่อการดูแลรักษา ทำให้ไม่เสียเวลามากนัก
3. ชนิดของต้นไม้ที่ใช้ ต้นไม้บางชนิดต้องประคบประหงมมาก แต่บางชนิดปลูกแล้ว ดูแลรักษานาน ๆ ครั้งก็ได้ จึงไม่จำเป็นต้องเสียเวลาและแรงงานในการดูแลรักษา
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ต้องคำนึงตั้งแต่ต้นเพราะ "สวนจะสวยด้วยการดูแลรักษา"
เมื่อได้ประเภทบริเวณใช้สอยต่าง ๆ และแนวความคิดลักษณะรูปแบบของสวนอยู่ในใจแล้ว จึงเลือกบริเวณที่เหมาะกับการใช้สอยที่ต้องการลงในแปลน เช่นจัดไม้ดอกสีสวยสดใสไว้หน้าบ้าน ปลูกต้นไม้ใหญ่ให้ร่มเงาด้านทิศตะวันตก จัดลานพักผ่อนต่อจากห้องนั่งเล่นในบ้าน ลานซักล้างต่อจากครัว และต้องการรั้วบังสายตาจากบริเวณอื่น ๆ สนามเด็กเล่นก็ควรอยู่ในจุดที่สามารถมองเห็นได้จากภายในบ้าน เพื่อเป็นการป้องกันเมื่อเด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่นในสนาม โดยที่พ่อแม่ไม่จำเป็นต้องไปนั่งเฝ้า อยู่ในบ้านก็สามารถมองเห็นลูก ๆ ได้ และบริเวณจัดสวนโชว์ควรอยู่ในจุดที่แขกผู้มาเยี่ยมจะเชยชมได้ จึงมักจะอยู่หน้าบ้าน ซึ่งการเลือกบริเวณต่าง ๆ เหล่านี้ ดูจากการใช้งานประจำวันของสมาชิกภายในบ้าน
การกำหนดรูปร่างหรือแบบ (style)
ในการจัดสวนในส่วนของบริเวณที่เลือกแล้วนั้นขึ้นอยู่กับรสนิยม และความชอบของเจ้าของบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1. แบบรูปทรงเรขาคณิต (Formal) คือการจัดโดยอาศัยรูปทรงเรขาคณิตต่าง ๆ มีการแสดงออกของเส้นตรง ซึ่งเป็นเส้นนำสายตาให้มุ่งตรงไปยังจุดเด่นที่ต้องการ (Strong Axial Design) และเส้นนี้จะแสดงความรู้สึกว่า บริเวณด้านซ้าย และขวามีความเท่า ๆ กัน (Balance) คือด้านซ้ายและด้านขวาเหมือนกันทุกประการ การจัดสวนแบบนี้เหมาะกับบ้านทรงยุโรป ประเภทกรีก โรมัน และบริเวณมุมเล็ก ๆ ในพื้นที่จำกัด หรือในบริเวณส่วนด้านหน้าของหน่วยงานราชการ และบริษัทต่าง ๆ การจัดสวนประเภทนี้จะดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่การดูแลรักษาค่อนข้างสูง เพราะต้องตัดแต่งต้นไม้ให้เป็นรูปทรงเรขาคณิตอยู่เรื่อย ๆ
2. แบบธรรมชาติ (Informal) คือการจัดใช้เส้นอิสระ (Free Form) มักเป็นโค้งรูปตัว "S" ดูเป็นธรรมชาติ อ่อนช้อยไม่เป็นเหลี่ยมมุม ต้นไม้ใช้รูปทรงตามธรรมชาติ ไม่ตัดแต่งเป็นรูปทรงเรขาคณิต การจัดสวนแบบธรรมชาตินี้เหมาะกับบ้านทั่ว ๆ ไป ทั้งที่มีเนื้อที่กว้างและเนื้อที่แคบ หรือสวนสาธารณะ และสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ
การจัดสวนนั้นมิใช่ว่าเอาต้นไม้มาปลูกเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นแถวเป็นแนว ให้เกิดความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่เราจะต้องคำนึงถึงวัสดุอุปกรณ์ในการตกแต่งสวนด้วยว่าจะเอาวัสดุอุปกรณ์ประเภทไหนอย่างไรมาตกแต่งสวนของเรา ให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น และจะทำอย่างไรให้คงความงามไว้ได้นาน โดยเริ่มจาก การจัดเตรียมพื้นที่การเลือกไม้ดอกไม้ใบ การใช้วัสดุปูพื้น การกั้นรั้ว การเลือกเฟอร์นิเจอร์ และการดูแลรักษา ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นมากต่อการจัดแต่งสวน
16/7/2002
ระเบียง / สวน