|
|
|
s
i n c e
1 5
J u n 2 0 0 2 |
|
|
B U D D Y H O M E " คู่ หู คู่ บ้ า น
ส ว ย " |
|
ข่
า ว เ ศ ร ษ ฐ กิ จ / ว ง ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง |
|
I
ข่าวทั้งหมด I |
|
22-10-2550
: |
SCG ลับคมองค์กร ติดสปริงขึ้นแท่นผู้นำตลาดอาเซียน |
|
สกู๊ป
โรดแมป 10 ปี นับจากปี 2006-2015 (พ.ศ.2549-2558) ที่ เครือซิเมนต์ไทย หรือ "SCG" ตั้งธงชัดเจนว่า จะต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง "ผู้นำอาเซียนแบบยั่งยืน" นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขององค์กรมหาชนที่มีพนักงานจำนวนมากถึง 2.48 หมื่นคน อย่างน่าจับตามอง
เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ SCG ใช้วิธีการบริหารจัดการด้วยการทำให้องค์กรมี "ไดนามิก" อยู่ตลอดเวลา
แม้ในสายตาของคนนอกหรือแม้แต่คนในองค์กรเอง อาจมองว่าประเด็นการตั้งเป้าเป็นผู้นำอาเซียนแบบยั่งยืนเป็นสิ่งที่มีความท้าทายกว่าทุกครั้ง และอาจต้องใช้เวลาเพื่อก้าวไปถึงจุดนั้น
"กานต์ ตระกูลฮุน" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย ในฐานะซีอีโอเครือปูนฯ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า SCG ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกหลายอย่างก่อนจะไปถึงตำแหน่งผู้นำอาเซียน
แต่ถ้ามองในเชิงของขนาดกำลังผลิตของโรงงานต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วอาเซียน คำว่าเบอร์หนึ่งดูจะมาเร็วกว่าที่คิดไว้
ทั้งที่ยังเหลือระยะเวลาอีกถึง 8 ปี
เพราะถึงวันนี้ถ้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งที่ลงทุนในอาเซียนด้วยกัน เครือข่ายธุรกิจที่ "โลคอล" เป็นเจ้าของ เปรียบเทียบขนาดของโรงงานปิโตรเคมี กระดาษ วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ โดยรวมแล้วส่วนใหญ่ล้วนมีกำลังการผลิตที่เป็นรอง SCG
"กานต์" บอกว่าปัจจุบันโรงงานกระดาษของเครือปูนใหญ่มีกำลังผลิตรวม 1.6 ล้านตันต่อปี และอยู่ระหว่างขยายเพิ่มเป็น 1.8-1.9 ล้านตัน จะแล้วเสร็จภายในปี 2552 โรงงานปิโตรเคมีก็ทิ้งห่างคู่แข่งมาก โดยคู่แข่งอันดับสองปัจจุบันมีกำลังผลิตคิดเป็น 1 ใน 4 เท่านั้น เช่นเดียวกับโรงงานวัสดุก่อสร้างทุกประเภทรวมกันถือว่ามีกำลังผลิตสูงสุด ยกเว้นโรงงานซีเมนต์เพียงอย่างเดียวที่ยังเป็นรอง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าวันนี้อาจถือว่า SCG ขึ้นแท่นตำแหน่งผู้นำอาเซียนแล้ว แต่ในแง่ของ representation หรือการยอมรับโดยเฉพาะเรื่อง "แบรนด์" ยังต้องใช้เวลาอีกพอสมควร
จากโจทย์ดังกล่าวทำให้ยักษ์ใหญ่รายนี้จำเป็นต้องวางแผนการทำ CSR (corporate social responsibility) หรือการมีส่วนรับผิดชอบต่อสังคม ในระดับภูมิภาค เพื่อสร้างการรับรู้ในตัว แบรนด์และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของคนในประเทศที่เครือปูนใหญ่เข้าไปลงทุน ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความรู้สึกอยากเข้ามาร่วมงานกับองค์กรด้วย
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ตอบคำถามว่าทำไมช่วงที่ผ่านมา "กานต์" จึงต้องรีแบรนดิ้งบริษัทในองค์กรที่ทำธุรกิจกับต่างประเทศทั้งหมด โดยมีคำว่า "SCG" นำหน้าชื่อทุกบริษัท เช่น บริษัท ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างซิเมนต์ไทย จำกัด บริษัทโฮลดิ้งที่ดูแลธุรกิจวัสดุก่อสร้างทั้งหมด เปลี่ยนเป็นบริษัท เอสซีจีบิลดิ้ง แมตทีเรียล จำกัด บริษัท ค้าสากล ซิเมนต์ไทย จำกัด บริษัทเทรดดิ้งเปลี่ยนเป็นบริษัท เอสซีจีค้าสากลซิเมนต์ไทย จำกัด
โดยรูปธรรมของการทำ CSR ในประเทศเวียดนาม SCG เริ่มต้นมาระยะหนึ่งในลักษณะ "พรี โปรแกรม" รูปแบบแจกทุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนในระดับไฮสกูล รวมทั้งให้ทุนมาศึกษาต่อในเมืองไทย เป็นต้น
เฉพาะปี 2549 ที่ผ่านมา มีการแจกไปแล้วเกือบ 400 ทุน รวมถึงการดูแลพัฒนาชุมชนรอบๆ โรงงาน และก้าวถัดไปคือการทำเรื่องสาธารณประโยชน์ เช่น การให้ความช่วยเหลือกรณีเกิดภัยพิบัติ
เรื่องดังกล่าวถือเป็นนโยบายหลักที่จะต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กร ไม่เว้นแม้แต่ พนักงานที่เป็นคนต่างชาติ เพราะเชื่อว่าการทำ CSR ที่เกิดจากคนในท้องถิ่นด้วยกันจะสร้างความรู้สึกต่อองค์กรที่ดีกว่า
ที่ผ่านมา ในภาพรวมของการปลูกฝังความคิดด้านต่างๆ ให้กับคนในองค์กร จึงเริ่มมีการทำ "เทรนนิ่งโปรแกรม" และ "บิสซิเนสโปรแกรม" ในต่างประเทศ เช่น การจัดเทรนนิ่งโปรแกรมในเมืองมะนิลา (ฟิลิปปินส์) ก็จะให้พนักงานทั้งจากเมืองไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ มารวมตัวกันเพื่อเข้ากับการอบรม
เพราะปัจจุบัน SCG มีพนักงานคนไทยที่ทำงานในต่างประเทศกว่า 136 คน และในจำนวนพนักงานทั้งหมด (2.48 หมื่นคน) มีชาวต่างชาติที่เป็นคนอาเซียน 2.2-2.3 พันคน หรือเกือบ 10% ซึ่งตามแผน 5 ปี นับจากปี 2549-2553 จะมีการรับพนักงานเพิ่มขึ้นอีก 6,000 คน ในจำนวนนี้ 4,000 คน เป็นคนท้องถิ่นในอาเซียน อาทิ อินโดนีเซีย จะรับเพิ่มอีก 1,000 คน เวียดนามอีก 1,000 คน เป็นต้น
เพราะ "กานต์" ยอมรับว่า ในเมืองไทยเครือ ซิเมนต์ไทยเป็นองค์กรที่ทุกคนรู้จัก แต่ในต่างประเทศนั้นการรู้จักและรับรู้ในวงกว้างยังไม่ดีพอ ที่ผ่านมาจึงต้องให้ความสำคัญกับการทำ "เทรนนิ่ง" และ "CSR" อย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ ปัจจัยที่นำมาใช้เป็นกลยุทธ์ในการบุกตลาดนอกประเทศ
ล่าสุด SCG ได้จัดตั้งออฟฟิศ "สำนักงานการลงทุน" ขึ้นที่ประเทศเวียดนามและอินโดนีเซีย เพื่อทำหน้าที่เป็น investment coordination office ประสานงานกับสำนักงานการลงทุนส่วนกลางในกรุงเทพฯ รองรับการขยายลงทุนในอาเซียน
โดยให้น้ำหนักไปที่ออฟฟิศในเวียดนาม ซึ่งทำงานแบบฟูลไทม์ หน้าที่หลักคือการสำรวจข้อมูลในแง่เศรษฐกิจมหภาคทั้งหมด สภาพตลาด ทรัพยากร ต้นทุนการผลิต โลจิสติกส์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเข้าไปลงทุน และสิทธิประโยชน์สูงสุดต่างๆ
เพราะนับจากปี 2010 SCG ยังมีแผนลงทุนเพิ่มต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสยายปีกในอาเซียนต่อเนื่อง
|
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 22-10-2550
|
|
|
|
|
|
|