|
|
|
s
i n c e
1 5
J u n 2 0 0 2 |
|
|
B U D D Y H O M E " คู่ หู คู่ บ้ า น
ส ว ย " |
|
ข่
า ว เ ศ ร ษ ฐ กิ จ / ว ง ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง |
|
I
ข่าวทั้งหมด I |
|
18-10-2550
: |
"เพอร์เฟค" ติดหัวรบพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ ขยายฐานตลาดเช่าดันยอด |
|
สกู๊ป
น่าจับตามองไม่น้อยกับการวางหมากใช้ "กองทุนอสังหาริมทรัพย์" (พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์) เป็นเครื่องมือระดมทุนเพื่อต่อยอดการขยายธุรกิจ ของ "พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค" หนึ่งในดีเวลอปเปอร์รายใหญ่ที่ต้องการฝ่าด่านเศรษฐกิจเก็บยอดขายในปีนี้ให้ถึง 8,000 ล้านบาท
เพราะนอกจากแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว การตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์เป็นเครื่องมือระดมทุนอันหนึ่งที่บริษัทพัฒนาที่ดินต่างหยิบมาใช้ ไล่มาตั้งแต่พี่ใหญ่ของวงการ อย่าง แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แสนสิริ ควอลิตี้เฮ้าส์ ฯลฯ แม้กระทั่งกลุ่ม ที.ซี.ซี.ของ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่ขยับเคลื่อนไหวแต่ละครั้งก็สะเทือนไปทั้งวงการ
สำหรับเพอร์เฟค ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ มีแผนจะเปิดขายพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์มูลค่าประมาณ 500-600 ล้านบาท ให้กับนักลงทุนในประเทศเป็นครั้งแรก หลังจากช่วงกลางปีที่ผ่านมาได้นำบ้านหรูจำนวน 60 ยูนิต ที่ก่อสร้างพร้อมตกแต่งเสร็จจาก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ "มาสเตอร์พีซ เอกมัย-รามอินทรา" จำนวน 13 ยูนิต ราคาเฉลี่ยต่อยูนิต 13 ล้านบาท และ "เพอร์เฟคเพลส รามคำแหง-สุวรรณภูมิ" จำนวน 47 ยูนิต ราคาเฉลี่ยต่อยูนิต 9 ล้านบาท มาให้ลูกค้าเช่าในราคา 6.5 หมื่น-1 แสนบาทต่อเดือน เพื่อสร้างรายได้จากค่าเช่า ก่อนจะนำมาใช้เป็นทรัพย์สินจัดตั้งกองทุน
ผลตอบรับจากการปรับกลยุทธ์นำบ้านมาตกแต่งเพื่อปล่อยเช่าถือว่าเกินความคาดหมาย เพียงแค่ช่วงเวลา 2-3 เดือนที่ผ่านมา โครงการมาสเตอร์พีซ มีผู้เช่าแล้ว 10 ยูนิต ส่วนโครงการเพอร์เฟคเพลส มีผู้เช่าเกือบ 50% หรือประมาณ 20 ยูนิต ส่วนใหญ่มีเงื่อนไขการทำสัญญาเช่าขั้นต่ำเป็นเวลา 1 ปี
"เราได้รับฟีดแบ็กดีเกินคาด จากตอนแรกประเมินว่าต้องใช้เวลา 5-6 เดือน กว่าจะมีผู้เช่าครึ่งหนึ่ง ซึ่งตามหลักหากทรัพย์สินที่นำมาเข้ากองทุนมีผู้เช่าแล้ว 70% ขึ้นไป ก็สามารถเปิดขายหน่วยลงทุนได้แล้ว ในส่วนของเพอร์เฟค คาดว่าภายในเดือนพฤศจิกายนนี้น่าจะดำเนินการได้" ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บอกกับ "ประชาชาติธุรกิจ"
จากประสบการณ์ของเพอร์เฟคมองว่า ถ้าเป็นทรัพย์สินประเภท "บ้านเดี่ยว" ที่จะนำมาตั้งกองทุนได้นั้นต้องมีองค์ประกอบหลักๆ คือ 1)มีเนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 100 ตารางวา 2)ต้องอยู่ในทำเล ที่ดี ได้แก่ ใกล้รถไฟฟ้า จุดขึ้นลงทางด่วน และ 3)ต้องตกแต่งเสร็จแบบพร้อมอยู่ โดยลูกค้าส่วนใหญ่มักเป็นชาวต่างชาติที่มาทำงานในกรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์กองแรกอาจเป็นแค่เพียงการ "ชิมลาง" เท่านั้น เพราะด้วยขนาดกองทุนไม่ถึงหลักพันล้านบาท ถือว่าเล็กมากหากเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ ที่อยู่ในระดับเดียวกัน
สิ่งที่เพอร์เฟคกำลังคิดอยู่คือ หากรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศมีนโยบายสนับสนุนการเข้าลงทุนของต่างชาติ และมีการปรับปรุงแก้ไขมาตรการกันเงินสำรอง 30% ของนักลงทุนต่างชาติให้มีความผ่อนคลายมากขึ้นกว่าเดิม จะส่งผลดีต่อการระดมทุนของพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์อย่างมาก
หากเป็นอย่างที่คาดหวังไว้ เพอร์เฟคจะเดินหน้าการจัดตั้งพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์กองที่ 2 ต่อเนื่องทันที ด้วยขนาดกองทุนที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมกว่า 10 เท่า หรือไม่ต่ำกว่า 5,000 ล้านบาท
"เรื่องตั้งกองทุนใหม่เป็นแผนที่เตรียมไว้แล้ว ไม่งั้นเราอาจถูกคู่แข่งทิ้งห่าง แต่ขนาดกองทุนต้องรอความชัดเจนจากบอร์ดบริหารก่อน บวกกับต้องรอดูนโยบายรัฐบาลใหม่เพราะกองทุนใหม่ที่จัดตั้งคงต้องขายหน่วยลงทุนให้ต่างชาติด้วย"
เบื้องต้นเพอร์เฟคเตรียมโครงการที่จะนำเข้าเป็นทรัพย์สินส่วนหนึ่งในการจัดตั้งกองทุนไว้แล้ว อาทิ คอนโดมิเนียมสุดหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา "เดอะพาโน" ย่านพระรามที่ 3 บ้านที่จะทยอยก่อสร้างในโครงการมาสเตอร์พีซฯ ซึ่งยังมีที่ดินเหลืออีกกว่า 10 ไร่ ฯลฯ
ไม่นับรวมแผนการแตกไลน์พัฒนาโครงการอสังหาฯ ในรูปแบบอื่นๆ อาทิ "รีเทล-ออฟฟิศให้เช่า-เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์" ที่อยู่ระหว่างการศึกษา ซึ่งมีที่ดินในทำเลศักยภาพอยู่ในมือแล้ว อาทิ ที่ดินย่านสาทรตัดใหม่ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นคอนโดฯ เมโทรพาร์ค อาจเลือกปรับ
เปลี่ยนรูปแบบพื้นที่บางเฟสมาพัฒนาเป็นโครงการเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เนื่องจากอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าเพียงไม่กี่นาที
เพอร์เฟคเชื่อว่าตลาดอสังหาฯในรูปแบบให้เช่า ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดฯ ยังเปิดกว้างอยู่ และหากทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์จะทำให้บริษัทรักษาตำแหน่งหนึ่งในผู้นำตลาดอสังหาฯไว้ได้
|
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 18-10-2550
|
|
|
|
|
|
|